top of page

ผลการค้นหา

พบ 13 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา

  • 8 แอปฝึกฟังอังกฤษ อัปสกิลง่ายๆ เริ่มต้นจากการฟัง

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! แถวนี้มีใครที่อยากเก่งภาษาอังกฤษอยู่บ้างมั้ยน้า เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่อาจจะมีอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน หรืออาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะไปลงเรียนคอร์สต่างๆ วันนี้เราสามารถช่วยเพื่อน ๆ แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ค่ะ เพราะวันนี้เรามีแอพพลิเคชั่นดีดีที่จะเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาฝากกันค่ะ 8 แอปฝึกฟังอังกฤษ 1. BBC Learning English ต้องบอกก่อนเลยว่าแอพ BBC LEARNING ENGLISH เป็นแอพพลิเคชั่นฟรีที่เป็นที่นิยมกันอย่างมาก ซึ่งทุกคนสามารถเรียนภาษาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องลำบากไปตามหาแหล่งความรู้ที่ไหน เพราะภายในแอพนี้จะแบ่งเป็นโปรแกรมย่อย ๆ เช่น Everyday English, Business English, Learn with the news, Learn with drama, Pronunciation, Vocabulary, Grammar แล้วในแต่ละโปรแกรมยังมีการแบ่งเป็นเซคชั่นอีกด้วย 2.PORO - Learn English PORO Learn English เป็นแอปพลิเคชันการเรียนภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ ด้วยการพูดและการฟัง เพราะแอปพลิเคชั่นนี้จะสอนการออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษามากที่สุด พร้อมทั้งมีบทสนทนาที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุดกว่า 750 บท 3.LearnEnglish Podcasts ทำไมถึงต้องเรียนภาษาอังกฤษผ่าน Podcast? การเรียนภาษาอังกฤษผ่าน Podcast นั้น สามารถฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะทำงาน หรือขณะเดินทาง อะไรจะดีไปกว่าการผ่านช่วงเวลาเดินทางที่ยาวนานไปกับการเรียนรู้กับ Podcast Podcast จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการฟังและเพิ่มความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ ใน Podcast มักจะมี Transcript ซึ่งคุณสามารถอ่านและฟังได้ในเวลาเดียวกัน 4.EchoEnglish Echo English เป็นแอปพลิเคชัน ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษโดยคนไทยเพื่อคนไทย ซึ่งร่วมกันพัฒนาโดย กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ Enconcept และมูลนิธิยุวสถิรคุณ ซึ่งเป็นผู้สร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันนี้ เราสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ง่าย ๆ โดยจะแบ่งออกเป็นสามส่วน คือพื้นฐานภาษาอังกฤษ บทสนทนาทั่วไป และคำที่คนไทยมักใช้ผิด ไม่ว่าจะเป็น การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อีกทั้งยังเพิ่มเติมในส่วนของ การตอบคำถาม และเนื้อหาที่มีการจำลองสถานการณ์มา เช่น อยู่สนามบิน การแนะนำตัว เป็นต้น 5.English Radio แอปพลิเคชันตัวนี้ นอกจากจะสามารถฝึกฟังและอ่านข่าวภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีห้องแชทสำหรับการเข้าไปพูดคุยฝึกฝนภาษาอังกฤษด้วย ถือว่าเป็นการ Learning by doing ที่มีประสิทธิภาพมากๆ ที่สำคัญ ไม่ต้องกลัวที่จะพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษ เพราะทุกคนล้วนโหลดแอปฯ ตัวนี้มาใช้เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้นนอกจากภาษาอังกฤษจะดีขึ้นแล้ว ยังได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นด้วยนะ 6.FluentU FluentU ให้คุณได้เรียนภาษาอังกฤษผ่านวิดีโอภาษามนุษย์ปุถุชนอย่างมิวสิควิดีโอและคลิปภาพยนตร์ ด้วยออปชั่นที่หลากหลายและแผนการใช้งานที่ยืดหยุ่น FluentU จึงมีออปชั่นที่เหมาะสำหรับคุณที่สุดเสมอ 7.TED แอปนี้เค้าจะเป็นแอปที่เราสามารถเลือกได้ว่าเราชอบดูหมวดหมู่อะไรไม่ว่าจะเป็น ความรัก ธุรกิจ การศึกษาเทคโนโลยี เรียกได้ว่ามีให้เลือกเยอะจริง ๆ ค่ะตัวแอปจะเป็นเหมือนกับมีคนมาเล่าเรื่องให้เราฟังอะค่ะคล้าย ๆ กับเดี่ยวไมโครโฟนเลยค่ะ บางเรื่องก็จะมีฮา ๆ หน่อยบางครั้งฟังเเล้วก็คลายเครียดได้เหมือนกันค่ะ และเค้าจะมีเป็นซับให้ด้วยค่ะเราสามารถเลือกซับได้เลยค่ะและซับเค้ามีหลายภาษามาก ๆ เลยนะและสำหรับใครที่กำลังพึ่งฝึกฟังก็สามารถที่จะเลือกซับภาษาไทยและส่วนใครที่เชี่ยวชาญขึ้นมาหน่อยก็เลือกซับอังกฤษค่ะแต่บางเรื่องก็อาจจะไม่มีซับไทยนะ 8.ELSA แอปนี้เหมาะสำหรับคนที่เขินอายไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่น แต่ก็อยากฝึกสำเนียงให้ดีขึ้น แอปนี้ตอบโจทย์มากเพราะเราจะได้ฝึกการออกเสียงกับบอท ถ้าออกเสียงผิดบอทก็จะบอกพร้อมแนะนำวิธีออกเสียงให้ถูก สอนเรื่องการเลื่อนลิ้นและริมฝีปากเวลาออกเสียงด้วย เป็นอีกหนึ่งแอปที่ดีมาก ๆ

  • 10 เทคนิค How to อยู่กับโฮสแฟมิลี่ยังไงให้เป็นสุข

    สวัสดีค่ะน้องๆ เชื่อว่าน้องๆที่เป็นเด็กแลกเปลี่ยนหลายๆคนคงกังวลใจกันบ้างไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่กับ "โฮสต์แฟมิลี่" (Host Family) ซึ่งเป็นครอบครัวที่เรียกได้เต็มปากเลยว่า "แปลกหน้า" เพราะนอกจากเราจะไม่รู้จักคุ้นเคยกับคนเหล่านี้แล้ว พวกเขายังเป็นชาวต่างชาติต่างภาษา ซึ่งมีวิถีชีวิต ความคิด และมุมมองหลายๆอย่างแตกต่างไปจากเรา... 1. รักษามารยาทที่ดี ใครๆก็ชอบคนมีมารยาท เชื่อว่าทุกคนคงไม่เถียงและอาจคิดในใจว่า "มันก็ต้องอยู่แล้ว! ใครจะไปทำมารยาทเสียใส่คนที่เราต้องไปอาศัยบ้านเขาอยู่กันล่ะพี่?" แต่จุดนี้อยากจะเตือนกันเอาไว้นิดนึงค่ะว่า สิ่งที่เรียกว่า "มารยาทที่ดี" นั้นอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรมได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากจะแนะนำให้ทำก่อนก็คือ เราควรศึกษาหาข้อมูลล่วงหน้าเสียหน่อยเกี่ยวกับกิริยามารยาทต่างๆในประเทศที่เรากำลังจะเดินทางไปค่ะ 2. ไม่ต้องกลัวที่จะถามคำถาม หากว่าเราไม่แน่ใจว่าเราควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หรือไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งนั้นอย่างไร สิ่งที่ควรทำที่สุุดก็คือถามออกไปเลยค่ะ! ดีกว่ามานั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว หรือฝืนทำไปแบบผิดๆ เพราะบางครั้งมันก็ก่อให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งถึงตอนนั้นคำถามหนึ่งที่จะโดนย้อนกลับมาก็คือ "แล้วทำไมไม่ถาม?" ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องอาย กล้าๆหน่อยแล้วถามออกไปเลยค่ะ! ถามเอาให้เราเข้าใจจริงๆ เราจะได้ทำถูกต้อง ^^ 3. พยายามสื่อสาร ถึงแม้ว่าเราอาจจะใช้ภาษานั้นๆยังไม่เก่ง อาจจะมีตะกุกตะกักบ้างอะไรบ้าง แต่นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ภาษาของเราพัฒนาขึ้นได้ค่ะ ก็แหม... เรามาก็เพื่อที่จะเรียนรู้และพัฒนาภาษาของเราไม่ใช่เหรอคะ หากว่าเราไม่ยอมพยายามใช้ภาษาแล้วจะเก่งขึ้นได้ยังไงล่ะจริงมั้ย ใช้ไปเถอะค่ะ ผิดหรือถูกจะได้รู้ คิดคำศัพท์อะไรไม่ออกก็พยายามอธิบายกันไป เล่าให้โฮสต์แฟมิลี่ฟังว่าที่โรงเรียนเราเป็นอย่างไรบ้าง ที่บ้านเกิดเราเป็นอย่างไรบ้าง อะไรอย่างนี้ก็ได้ค่ะ การหาเรื่องพูดคุยกัน นอกจากจะได้ฝึกภาษาแล้วยังทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นด้วย 4. พูดคุยเปิดใจเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ถ้าหากมีอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับเรา ไม่ต้องกลัวที่จะพูดถึงมันค่ะ อย่าทิ้งปัญหาไว้ให้ค้างคาจนเราทนไม่ไหว หรือเก็บกดเอาไว้แล้วมานั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว ทางที่ดีก็คือควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพ พยายามพูดคุยและอธิบายเกี่ยวกับปัญหา หรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น และพยายามที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทั้งสองฝ่ายไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ในทางกลับกัน เราเองก็ควรจะทำให้โฮสต์แฟมิลี่ได้รับรู้ว่า พวกเขาสามารถที่จะพูดคุยกับเราได้เสมอหากว่าเราทำสิ่งใด ที่อาจเป็นการก่อให้เกิดปัญหาหรือทำให้ทางนั้นไม่สบายใจค่ะ ซึ่งควรรีบบอกตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อที่ทั้งเราและพวกเขาจะได้เข้าใจตรงกันตั้งแต่ต้น 5. ใช้เวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับโฮสต์แฟมิลี่ของเรา ลองศึกษาดูว่าครอบครัวโฮสต์ของเราทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน เช่น พวกเขาตื่นนอนกันประมาณกี่โมง และเข้านอนกันตอนกี่โมง รับประทานอาหารกันตอนไหน หรือทำอะไรที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวันบ้าง เพื่อที่เราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันเหล่านั้นนั่นเองค่ะ อย่างมารับประทานอาหารให้ตรงเวลาที่ครอบครัวจะทานกัน หรือเมื่อรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่พวกเขาเข้านอนกัน เราก็จะได้ไม่ไปรบกวนพวกเขาเวลานั้นนั่นเอง 6. ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยเหลืองานบ้านเท่าที่ทำได้ สุภาษิตไทยว่าไว้ "อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย..." อะไรที่เราทำได้ก็ควรที่จะเสนอตัวช่วยเหลือ เช่น ล้างจาน เช็ดจาน ช่วยจัดโต๊ะอาหาร เอาขยะไปทิ้งที่ถังหน้าบ้าน เอาผ้าใช้แล้วไปใส่เครื่องซักให้ เป็นต้น หรืออาจจะทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการไม่ไปเพิ่มภาระให้กับพวกเขา เช่น ทำห้องของตัวเองให้สะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอ และระมัดระวังไม่สร้างความสกปรกให้กับส่วนอื่นๆของบ้าน เท่านี้ก็เป็นการช่วยในส่วนของเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ 7. ใช้เวลาอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ของเรา อย่าอยู่คนเดียวในห้อง ต้องออกมาทำกิจกรรมและใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวโฮสต์บ้าง เช่น อาจจะเข้าร่วมกิจกรรมที่ครอบครัวชอบทำกัน จะได้มีช่วงเวลาที่ดีๆ ที่สนุกสนานร่วมกัน ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เรียนรู้ภาษา และมีหัวข้อสนทนาที่ดีสำหรับพูดคุยกับครอบครัวโฮสต์ด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าอยากจะพัก เราก็แค่อธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่าเราเหนื่อย (จะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นคนขี้เกียจหรืออะไรอย่างนั้น) หรือถ้าเราไม่ชอบกิจกรรมที่ครอบครัวนั้นชอบทำ เราก็อธิบายให้เขาฟังไปตรงๆ จะได้หลีกเลี่ยงปัญหากันไปค่ะ 8. แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศของเรา การที่โฮสต์แฟมิลี่เลือกที่จะรับนักเรียนแลกเปลี่ยนไปอยู่ด้วยนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการให้เราไปเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเราด้วยเหมือนกัน (ถึงใช้คำว่า "แลกเปลี่ยน" ยังไงล่ะคะ ^^) โดยเราอาจจะเตรียมรูปภาพของครอบครัวและบ้านเกิดไปแชร์กับโฮสต์แฟมิลี่ก็ได้ หรือเราอาจจะเตรียมหัดทำอาหารไทยไป แล้วไปทำให้โฮสต์แฟมิลี่ชิม (ส่วนใหญ่ต่างชาติจะชอบอาหารไทยสุดๆเลยค่ะ แต่เราต้องทำให้อร่อยๆด้วยนะ 555+) หรือใครที่เตรียมของขวัญที่เป็นของไทยๆไปฝากด้วยยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ ^^ 9. อย่าคาดหวังว่าโฮสต์จะต้องทำให้เราทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะต้องพึ่งพาโฮสต์ในบางเรื่อง แต่บางเรื่องที่เราสามารถทำเองได้ก็ควรช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ (และการช่วยเหลือตัวเองก็เป็นสิ่งที่โฮสต์จะคาดหวังจากเราด้วย) บางคนอาจจะเคยเห็นโฮสต์แฟมิลี่ของคนอื่น พาไปเที่ยวที่นั่นที่นู่นที่นี่ แล้วก็เลยคิดว่าโฮสต์ของเราจะพาเราไปบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรคาดหวังค่ะ หากว่าเราอยากจะท่องเที่ยวจริงๆ ก็อาจจะหาข้อมูลและเส้นทางการเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นเอง อาจจะถามจากโฮสต์ได้ว่าเดินทางไปอย่างไรได้ มีรถประจำทางสายไหนผ่านบ้างเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนดีที่สุดค่ะ 10. ยิ้ม! เราคนไทย และประเทศไทยก็เป็น "สยามเมืองยิ้ม" อยู่แล้ว! นี่จึงนับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเราที่เราควรรักษาไว้ค่ะ ใครๆก็ต้องชอบคนที่มีรอยยิ้มมากกว่าคนที่ทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด จริงมั้ยล่ะคะ ^^ และการยิ้มก็เป็นการแสดงความเป็นมิตร เป็นการผูกสัมพันธ์กับผู้คนได้อย่างไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ที่สำคัญคือเราต้องไม่ลืมว่าโฮสต์แฟมิลี่เป็นผู้อนุญาตให้เราได้อยู่ด้วย และคอยดูแลเราที่มาอยู่ต่างเมืองด้วยตัวคนเดียว เราจึงต้องแสดงความขอบคุณพวกเขาให้ได้มากที่สุด เวลาที่เกิดความไม่พอใจอะไรก็พยายามมองข้ามสิ่งที่เราไม่ชอบนั้น และคอยนึกถึงน้ำใจที่เขามีต่อเราไว้ ก็จะช่วยให้เราผ่านพ้นมันไปได้ค่ะ ขอบคุณบทความจาก : www.dek-d.com

  • คุณเหมาะกับ Oxford หรือไม่ 4 คำถามเอาไว้ตัวเอง

    คำถามข้อที่ 1 คุณชอบคอร์สของ Oxford หรือไม่ ? อันนี้เป็นค่าถามแรกที่สําคัญมาก ๆ สิ่งที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดคือ เรียนคอร์สอะไรก็ได้ขอให้เป็น Oxford หรือ Cambridge โดยไม่ได้ สนใจเลยว่า เขามีคอร์สอย่างที่อยากจะเรียนให้เรียนไหม หรือคอร์สที่ ว่านั้นเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ แล้ว Oxford น่าสนใจกว่า มหาวิทยาลัยอื่นจริงหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือ ชอบคอร์สที่อยากจะ เลือกนั้นของ Oxford จริง ๆ หรือเปล่า สิ่งสําคัญมาก ๆ ที่ต้องทำคือตั้งต้นก่อนว่าอยากจะเรียนอะไร จากนั้นเข้าเว็บไซต์ของ Oxford เพื่อเข้าไปดูว่า Oxford มีคอร์สนี้ให้เรียนไหม ถ้ามีให้เรียน คาถามต่อไปคือ แล้วใช่สิ่งที่เราอยากเรียนไหม แต่ละชั้นปีเรียนวิชาอะไรบ้าง มีวิชาหลักวิชาเลือกต่าง ๆ ตรงกับที่เราต้องการ มากแค่ไหน ถ้าสุดท้ายเราตอบได้ว่า คอร์สนี้ของ Oxford นี่แหละใช่ที่สุดแล้ว นี่คือ ผ่านค่าถามข้อแรกแต่ถ้าดูแล้วคอร์สที่เราอยากจะเรียนของ Oxford ไม่น่าสนใจ ก็อย่าเลือก Oxford ครับ อย่าเลือก Oxford หรือ Cambridge เพราะชื่อ แต่ให้เลือกเพราะเราอยากเรียนคอร์สของเขา จริง ๆ อันนี้สำคัญมาก คำถามข้อที่ 2 คุณอยู่ในเกณฑ์ที่จะมี profile ถึงตาม Entry requirements ที่ Oxford ตั้งเอาไว้หรือไม่ ? เมื่อคอร์สน่าสนใจแล้ว ให้อ่านเว็บไซต์ของคอร์สนั้นใน Oxford ต่อไป ในส่วนของ Entry requirements ว่าเขาต้องการผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ อะไรบ้าง อ่านให้ละเอียดในหลาย ๆ ส่วนเลยนะครับ เช่น • คะแนนสอบ IGCSE/GCSE เขามีกําหนดไหมว่าต้องสอบวิชาได้ เกรดเท่าไร มีวิชาไหนระบุเกรดที่ต้องได้เป็นพิเศษไหม วิชาที่เลือกเรียน ใน A-level/IB สอดคล้องกับที่คอร์สนั้นต้องการ หรือไม่ • Predicted grade ที่เราจะได้ใน A-level/IB สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ เขาตั้งเอาไว้หรือเปล่า • มีสอบ Admissions tests อะไรบ้าง หรือมีงาน Written works ใด ๆ ที่ต้องส่งหรือไม่ คำถามข้อที่ 3 คุณชอบการเรียนแบบ Tutorial หรือไม่ ? Oxford มีชื่อเสียงพิเศษเรื่องระบบการเรียนการสอนแบบกลุ่มเล็กหรือ แบบตัวต่อตัว ซึ่ง ใน Oxford จะเรียกว่า Tutorial (ส่วน Cambridge เองก็มีระบบนี้เหมือนกันแต่จะเรียกว่า Supervision) เป็นระบบที่ทำให้ผู้ เรียนสามารถเจาะลึกในเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าการเรียนที่ Oxford นั้นจะเข้มข้นมาก ๆ คือมีการเรียน แบบคลาสใหญ่ใน Lecture hall ปกติ และการเรียนในรูปแบบของ Seminar หรือ Lab หรือ Workshop ต่าง ๆ แล้ว ยังต้องมีคาบเรียน ที่มาเรียนเจาะลึกแบบ Tutorial เพิ่มเติมอีก ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมาก ๆ เพราะถือว่าเป็นการดูแลอย่างใกล้ชิดให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รับความรู้ และฝึก Skills ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น การเรียนที่ Oxford จะไม่ใช่แค่การนั่งฟัง Lecture อ่าน หนังสือและไปสอบ แต่จะต้องมีการค้นคว้า ตอบคำถามวิจัยเพิ่มเติม และโดนท้าทายให้ลงลึกไปในสิ่งที่เรียนมากขึ้น ถ้าเราก็อยากจะเรียนรู้ แบบนี้อยู่แล้ว Oxford ก็เป็นที่ที่ใช่สำหรับเรามาก ๆ คำถามข้อที่ 4 คุณมีสิ่งเหล่านี้ในตัวเองหรือไม่ ? Oxford พูดถึง Personalities และ Skills 6 อย่างที่เป็นตัวชี้วัดว่า เราเหมาะกับ Oxford จริง ๆ หรือไม่ ได้แก่ • Enthusiasm for your subject and life generally ความกระตือรือร้นต่อทั้งวิชาเรียนและต่อชีวิต เพราะ Oxford ต้องการคนที่กระตือรือร้น ต้องการคนที่วิ่งเข้าหา ต้องการคนที่ใช้ ชีวิต Active ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตเรื่อยเฉื่อยไปวัน ๆ • Being Positive การมองโลกในแง่ดี เพราะ Oxford ต้องการคนทีมีความหวัง เป็นคนที่เห็นโอกาสในสิ่งต่าง ๆ แม้ในเรื่องที่เลวร้ายหรือเป็นอุปสรรคก็สามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งนั้น และเห็นข้อดีในสิ่งเหล่านั้นได้ • Curiosity ความใฝ่รู้ เพราะ Oxford ต้องการคนที่ใฝ่รู้ อยากจะรู้ให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ และลึกลงไปเรื่อย ๆ เขาชอบคนที่ตั้งค่าถามเพื่อที่จะหาคำตอบให้กับสิ่งต่าง ๆ และเกิดเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา • Hard working การทํางานหนัก เพราะ Oxford ต้องการคนที ทํางานหนักได้ คือทั้งทำงานที่ทำอยู่อย่างทุ่มเท และ ทํางานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกัน มีความรับผิดชอบต่อชีวิตในหลาย ๆ ด้านได้ และ ก็มุ่งมั่นที่จะทำทุกด้านให้ดีที่สุด • Determination ความแน่วแน่ เพราะ Oxford ต้องการคนที่มี ความมุ่งมั่น มีความแน่วแน่ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และพยายามอย่าง ต่อเนื่องที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ให้ได้ไม่ว่าหนทางจะยากลำบาก ขอบคุณบทความ : www.talontiew.com

  • Top 10 ทีเทียวยอดนิยมในเมือง Oxford

    Oxford ออกซ์ฟอร์ด "เมืองแห่งการศึกษา" และเป็นที่ตั้งของ University of Oxford มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter หลังภาคต่อที่โด่งดังที่สุดในยุค 2000 เพราะเป็นเมืองสวย น่าอยู่ และมีที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย นอกเหนือจากตรงนี้ยังมีสถานที่ไฮไลท์ที่ต้องเยือนอย่าง Oxford Castle,Sheldonian,Magdalen College,Radcliffe Square ฯลฯ จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับทุกวัยที่มาแล้วไม่ควรพลาดที่จะมาเยือน ✈️วันนี้ IK ภูมิใจนำเสนอ 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดฮิตในปี 2023 📍 มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ตั้งอยู่ใน เมืองอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร และเป็น Oxford (อ๊อกซ์ฟอร์ด) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยภายในมหาวิทยาลัยก็จะประกอบไปด้วยวิทยาลัยที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยมากกว่า 30 แห่ง ซึ่งแต่ละวิทยาลัยก็จะมีความแตกต่างหลากหลายในเรื่องของสาขาวิชาและหลักสูตร ประกอบกับระบบการศึกษาที่มีความทันสมัยด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกจำนวนมากเข้ามาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริงและเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุไม่น้อยกว่า 800 ปี โดยประวัติการก่อตั้ง ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่มีหลักฐานว่าอ๊อกซฟอร์ดได้เริ่มสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 1639 (ค.ศ. 1096) นอกจากชื่อเสียงทางการการศึกษาแล้ว สถาปัตยกรรมของ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ก็มีความสวยงามไม่น้อย จึงไม่แปลกเลยหากที่นี่จะเคยเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์อย่าง แฮร์รี่พ็อตเตอร์ ทั้งในส่วนของ เดอะคลอยสเตอร์ นิว คอลเลจ (The Cloisters, New College) ที่เป็นฉากใน แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ภาค 4 และ ไครสต์เชิร์ชคอลเลจ (Christ Church College) ที่เป็นทั้งฉากถ่ายทำ แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ภาค 1 รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมโปรดักชั่นนำห้องโถงของที่นี่ไปสร้างเป็น ห้องโถงฮอกวอตส์ (The Great Hall) ในสตูดิโอที่ลอนดอนด้วยค่ะ ขอบคุณ : travel.trueid.net Bodleian Library ห้องสมุดบอดเลียนมีหนังสือจำนวนมากมายมหาศาลในทุกเรื่องที่คุณจะนึกออก ที่นี่เป็นห้องสมุดสำหรับการวิจัยหลักของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดซึ่งนักศึกษาใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการเรียน ห้องสมุดนี้ก่อตั้งในปี 1602 และเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง รวมถึงห้องใต้ดินอีกหลายห้อง ขณะที่คุณเดินสำรวจ คุณอาจได้ยินนักศึกษาเรียกที่นี่ด้วยความคุ้นเคยว่า “บอดลีย์” หรือแม้กระทั่ง “บอด” เอกสารเด่นๆ ที่มีค่าที่สุดในห้องสมุดนี้ได้แก่ จดหมายของกวี Percy Bysshe Shelley หนังสือ Magna Carta สี่เล่ม คัมภีร์ Gutenberg Bible ตั้งแต่ปี 1455 และคอลเล็กชันงานเขียนชุดแรกของวิลเลียม เชคสเปียร์สมัยปี 1623 ห้องสมุดบอดเลียนตั้งอยู่ระหว่างวิทยาลัย Hertford กับวิทยาลัย Exeter ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ห้องสมุดอยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ โรงละคร Sheldonian และโบสถ์มหาวิทยาลัยแห่ง St. Mary the Virgin ถนนไฮสตรีทที่อยู่ใกล้ๆ มีป้ายจอดรถประจำทางหลายป้าย หรือคุณจะเดินมาจากกลางเมืองก็ได้ ห้องสมุดนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นตลอดทั้งปี ขอบคุณ : เอ็กซ์พีเดีย Bridge Of Sighs สะพานซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1900 นี้เป็นจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย และเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง 2 ส่วนของวิทยาลัย Hertford สะพานถอนหายใจเป็นทางเดินในร่มที่เชื่อมตึก 2 หลังของมหาวิทยาลัย สถาปัตยกรรมที่น่าสนใจของสะพานทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมสำหรับผู้มาเยี่ยมชมตลอดทั้งศตวรรษที่ผ่านมา เดินมาชมสะพานอันงดงามแห่งนี้และถ่ายภาพสะพานโดยมีโรงละคร Sheldonian เป็นพื้นหลังที่น่าประทับใจ นักศึกษาเดินข้ามสะพานนี้ทุกวันเพื่อเดินจากกลุ่มอาคารรอบจัตุรัสเก่าไปยังจัตุรัสใหม่ในวิทยาลัย Hertford อาคารที่อยู่ทางเหนือประกอบด้วยหอพักนักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่อาคารทางใต้เป็นที่ตั้งของสำนักงานธุรการ สะพานนี้สร้างในปี 1914 โดยสถาปนิกนามว่า Thomas Graham Jackson ชื่อทางการของสะพานนี้คือ สะพาน Hertford แต่ว่ากันว่าอีกชื่อหนึ่งมาจากสะพานถอนหายใจในเวนิส ที่จริงแล้วการออกแบบของสะพานทั้ง 2 แห่งแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย สะพานถอนหายใจอยู่ติดกับห้องสมุดบอดเลียน ในวิทยาลัย Hertford ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในการเดินทาง คุณสามารถนั่งรถประจำทางมาลงที่ไฮสตรีท จากนั้นจึงเดินต่ออีก 2 นาที สถานที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียงได้แก่ โรงละคร Sheldonian และโบสถ์มหาวิทยาลัยแห่ง St. Mary the Virgin ขอบคุณ : เอ็กซ์พีเดีย Oxford University Museum Of Natural History พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ Oxford ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ที่สร้างเสร็จในปี 1683 เป็นสถานที่เก่าแก่ของพิพิธภัณฑ์ Ashmore พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1924 มีทั้งภารกิจคู่ที่มุ่งเน้นทั้งศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และการวิจัยการพัฒนาวัฒนธรรมตะวันตกและการจัดเก็บ พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นสามชั้นและพิพิธภัณฑ์ยังติดกับห้องสมุดในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ คอลเลกชันมีนับหมื่นชิ้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกือบจะรวมทุกด้านของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะดาราศาสตร์ด้วยกันเช่นคอลเลกชันดวงดาวดวงอาทิตย์เครื่องพิณและเครื่องมือทางคณิตศาสตร์เบื้องต้นเครื่องมือแสงและเคมี คอลเลกชันของปรัชญาธรรมชาติและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแพทย์นั้นงดงามมาก ขอบคุณ : trip.com ปราสาทอ็อกฟอร์ด(Oxford Castle) เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 11 – 12 ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ โดยตัวปราสาทเดิมส่วนใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำกว้าง ไม้ และกำแพงปราสาทชั้นนอกที่ถูกแทนที่ด้วยหิน ในศตวรรษที่ 11 อีกทั้งมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ขัดแย้งของอนาธิปไตย ในช่วงศตวรรษที่ 14 จึงทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของปราสาทได้รับความเสียหายในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษและช่วงศตวรรษที่ 18 โดยอาคารที่หลงเหลืออยู่ได้แปรสภาพเป็นเรือนจำท้องถิ่นใน Oxford ซึ่งเป็นเรือนจำแห่งใหม่ที่ได้สร้างขึ้นต่อมาในปี ค.ศ. 1785 และขยายพื้นที่อีกในปี ค.ศ. 1876 จนกลายเป็น HM Prison Oxford ต่อมาเรือนจำได้ถูกปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1996 จึงได้ปรับปรุงให้เป็นร้านอาหารและมรดกทางวัฒนธรรม โดยมีมัคคุเทศก์นำเที่ยวพาเที่ยวชมอาคารประวัติศาสตร์ต่างๆ และสนามกลางแจ้งสำหรับเป็นพื้นที่ตลาดและแสดงละคร โรงแรมแห่งนี้ประกอบไปด้วย โรงแรมในเครือ Malmaison Chain, Malmaison Oxford ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามส่วนของเรือนจำที่ใช้เป็นสถานที่ลงโทษหรือประหารชีวิตนักโทษ ได้ดัดแปลงเป็นสำนักงาน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่รับแขกแต่อย่างใด ซึ่งโครงการมรดกผสมผสาน ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ต่อมาได้รับรางวัลในโครงการ RICS ในปี 2007 ขอบคุณ : ตะลอนเที่ยวดอทคอม Tom tower หอคอยทอมเป็นหอนาฬิกาสไตล์โคกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ยิ่งใหญ่สร้างขึ้นในปี 1682 ตั้งอยู่ใกล้กับวิทยาลัยคริสต์คริสต์ ใกล้ใจกลางเมืองนิวยอร์ก มีนาฬิกาและโคมไฟแปดเหลี่ยมบนหอประตูทรงสี่เหลี่ยม หอคอยทอมเป็นอาคารที่ค่อนข้างสูง บริเวณรอบๆ หอคอยทั้งหมดยังกระจายอยู่ในสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์มากมาย การตั้งค่าบนยอดหอคอยก็ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ คุณสามารถเห็นสิ่งอํานวยความสะดวกและเนื้อหาที่น่าสนใจมากมาย อาคารนี้ยังใหญ่มาก ขอบคุณ : Trip.com Radcliffe Camera เป็นสิ่งก่อสร้างแบบนีโอโกธิคที่สวยน่าทึ่ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งห้องอ่านหนังสือต่างๆ ของห้องสมุดบอดเลียน ตึกแห่งนี้โดดเด่นกว่าสถาปัตยกรรมอื่นที่อยู่รอบๆ เนื่องจากมีรูปทรงกระบอกที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโดมที่สวยสะดุดตาคำว่า “คาเมรา (Camera)” มาจากคำว่า “ห้อง” ในภาษาละติน นับตั้งแต่ที่สถาปนิกเจมส์ กิบส์สร้างตึกนี้แล้วเสร็จในปี 1747 ก็มีการใช้ประโยชน์จากตัวตึกหลายอย่าง เช่น การเป็นห้องสมุดอิสระ แต่ปัจจุบันตึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยจากภายนอก คุณจะได้เห็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง ซึ่งทำให้ตึกนี้เป็นสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่มีชื่อเสียง ตึกนี้เป็นตึกที่มีผู้ถ่ายภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และเป็นตัวอย่างห้องสมุดรูปวงกลมที่เก่าแก่ที่สุดในสหราชอาณาจักร แรดคลิฟฟ์ คาเมราตั้งอยู่ระหว่างวิทยาลัยเบรซโนส ออลโซลส์ และเอ็กซิเตอร์ในใจกลางเมือง ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดบอดเลียน โรงละครเชลโดเนียน และโบสถ์ University Church of St. Mary the Virgin ขึ้นรถประจำทางมาที่ใจกลางเมือง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกตามถนนไฮสตรีทซึ่งเป็นถนนหลักเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง ขอบคุณ : เอ็กซ์พีเดีย Carfax Tower ตั้งอยู่เชื่อมกับบริเวณถนน Queen Street และถนน High Street ใจกลางเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ โดยชื่อ “Carfax” มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า “Carrefour” หรือ “Crossroads” และตำแหน่งที่ตั้งของอาคารแห่งนี้ ยังเป็นจุดศูนย์กลางที่สามารถเดินทางไปยังย่านใจกลางเมืองเก่าของเมือง Oxford ได้ นอกจากชื่อ Carfax ที่คนทั่วไปมักจะใช้กล่าวถึงอาคารแล้ว ยังเป็นชื่อที่ใช้เรียกสี่แยกได้อีกด้วย โดยอาคารหรือหอคอยแห่งนี้ เป็นสิ่งปลูกสร้างของโบสถ์ St. Martin ที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งภายในโบสถ์ใช้เป็นสถานที่ฝังศพของนายกเทศมนตรีของ Oxford อย่างน้อย 20 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 1820 โบสถ์แห่งนี้ถูกรื้อถอน เนื่องจาก บริเวณตัวอาคารทรุดโทรมลงและไม่มั่นคง ยกเว้นบริเวณด้านตะวันตกของอาคารที่ยังคงอยู่หลังจากที่รื้อถอนโบสถ์เดิมออก ก็ได้สร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นมา ในปี ค.ศ. 1822 เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ มีสถาปัตยกรรมแบบ Neo – Gothic ภายในมีหน้าต่างที่มีลวดลายสวยงามและนาฬิกาที่หันหน้าเข้าสู่ Carfax ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 โบสถ์นี้ถูกทำลายลง เนื่องจากต้องการปรับปรุงถนนให้กว้างขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะว่าบริเวณนี้เป็นหนึ่งในทางแยกที่มีการจราจรติดขัดที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง Oxford รวมถึงยังเป็นย่านที่เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว ในขณะที่โบสถ์ถูกทำลาย บริเวณอาคารก็ได้ถูกสงวนเก็บไว้ ในปัจจุบัน อาคารหรือหอคอยแห่งนี้ เป็นของ Oxford City Council ยอดหอคอยมีความสูงประมาณ 74 ฟุต ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมือง Oxford ได้อย่างกว้างขวางในมุม 360 องศา ทางด้านตะวันออกเป็นนาฬิกา ซึ่งลอกแบบมาจากโบสถ์เดิม นอกจากนี้ก็มีระฆังอีก 6 ใบ ในสมัย ค.ศ. 1676 ขอบคุณ : ตะลอนเที่ยวดอทคอม Ashmolean Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและโบราณคดี ตั้งอยู่บริเวณถนน Beaumont เมือง Oxford ประเทศอังกฤษ เป็นพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลก สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1678 – 1683 โดยบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของคณะรัฐมนตรี โดย Elias Ashmole ได้มอบให้แก่ University of Oxford ในปี ค.ศ. 1677 เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1683 โดยนักธรรมชาตินิยมที่ชื่อ Robert Plot ซึ่งเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เป็นคนแรก ต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ The Old Ashmolean หลังจากที่ได้ย้ายวัตถุต่างๆ เข้าไปยังบริเวณพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่แล้ว อาคารหลังเก่า หรือ Old Ashmolean ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่สำนักงานของ Oxford English Dictionary ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 อาคารได้รับการสถาปนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยมีการจัดนิทรรศการที่มีทั้งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่มอบให้กับ Oxford University โดย Lewis Evans อาคารปัจจุบันสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1841 – 1845 ออกแบบโดย Charles Cockerell ในแบบคลาสสิก หนึ่งในปีกของอาคารถูกครอบครองโดย The Taylor Institution คณะภาษาสากลของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมของถนน Beaumont และถนน St Giles ได้รับการออกแบบโดย Charles Cockerell ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์กรีก ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ประกอบไปด้วย ผลงานตัวอย่างที่เกี่ยวกับโบราณคดีและผลงานศิลปะต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด เครื่องเคลือบดินเผาของอิตาลี เหรียญโลหะที่ใช้แทนเงิน เหรียญในประเทศจีน รวมไปถึงศิลปะการตกแต่งของยุโรปตั้งแต่ยุคเรเนสซองส์จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วยภาพวาดสีน้ำมัน เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้นแกะสลัก เครื่องเคลือบดินเผา เครื่องเงิน แหวน นาฬิกา และเครื่องดนตรี ส่วนแผนกโบราณคดี จะประกอบไปด้วย มรดกของ Arthur Evans และผลงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมในยุคกรีก หลังจากนี้ได้มีการปรับปรุงพัฒนาพิพิธภัณฑ์ขึ้นใหม่ เปิดให้บริการอีกครั้งในปี ค.ศ. 2009 โดยห้องแสดงผลงานศิลปะได้มุ่งเน้นไปยังวัฒนธรรมและวัตถุโบราณของอียิปต์และซูดาน ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 พิพิธภัณฑ์ได้เปิดหอศิลป์แห่งใหม่ขึ้น ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งได้เก็บรวบรวมผลงานทางศิลปะของ Elias Ashmole ขอบคุณ : ตะลอนเที่ยวดอทคอม Pitt river museum ที่เป็นเก็บสะสมทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษ Pitt Rivers Museum ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2427 พิพิธภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งนี้ครอบคลุมประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์วิทยา และศิลปะทุกยุคสมัยและวัฒนธรรมทั่วโลก โดยมีสิ่งของมากกว่า 500,000 ชิ้น ตั้งแต่บูมเมอแรงไปจนถึงเครื่องดนตรี และตั้งแต่หัวหดไปจนถึงสิ่งทอและเครื่องประดับ นี่คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ยอดนิยมของอ็อกซ์ฟอร์ดและด้วยเหตุผลที่ดีของขวัญก่อตั้งของ General Pitt Rivers มีมากกว่า 26,000 รายการ ปัจจุบันมีสิ่งของ ภาพถ่าย และต้นฉบับกว่าครึ่งล้านชิ้นจากทั่วโลกและจากทุกยุคสมัยของมนุษย์ คอลเลกชันจำนวนมากเป็นบันทึกเฉพาะของงานภาคสนามและการเดินทางทางมานุษยวิทยา ซึ่งจำนวนหนึ่งได้รับการวิจัยและเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์เป็นแผนกการสอนของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มันยังคงขยายคอลเลกชันผ่านการบริจาค มรดก และการซื้อพิเศษ พิพิธภัณฑ์มีภาพถ่ายมากกว่า 13,000 ชิ้นจากซูดานและซูดานใต้ และสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 5,000 ชิ้น คอลเลกชันภาพถ่ายที่กว้างขวางรวมถึงภาพถ่ายยุคแรกๆ ของชาวซูดานและการตกแต่งภายในของแอฟริกา ภาพถ่ายและสิ่งประดิษฐ์จากซูดานใต้เป็นหัวข้อของโครงการวิจัยที่สำคัญในปี 2546-5 และส่งผลให้มีเว็บไซต์ที่ดึงดูดความสนใจไปทั่วโลก พิพิธภัณฑ์ยังคงทำงานอย่างกว้างขวางกับสมาชิกทั้งชาวซูดานใต้และพลัดถิ่นเกี่ยวกับมรดกของสิ่งของเหล่านี้ ขอบคุณ : Pitt Rivers Museum - bandpasses

  • เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองยังไงดี !!!

    การสื่อสารมีความสำคัญเป็นอย่างมากเมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ ในการสื่อสารจะมีทั้งการฟังและพูด เพื่อสร้างบทสนทนาและสามารถโต้ตอบได้อย่างเข้าใจ แต่ปัญหาของผู้เรียนส่วนใหญ่จะเจอในการสื่อสารคือฟังได้แต่ตอบไม่ได้ พูดไม่ออก เรียนไปตั้งนานแต่ไม่เห็นการพัฒนา ทำให้รู้สึกว่าเรียนไปก็เสียเวลาไปเปล่า ๆ 🌟สำหรับน้องๆคนไหนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษ วันนี้ทาง IK มีทริคง่ายๆช่วยให้น้องๆพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เริ่มเลอออ! 📌1.เข้าใจพื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเองก่อน ก่อนจะเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หากเข้าใจพื้นฐานหรือระดับภาษาของตัวเองก่อน ก็จะเลือกเรียนได้ตรงจุดมากขึ้น การเรียนง่ายเกินระดับก็อาจจะทำให้เบื่อหรือพัฒนาช้ากว่า ในขณะที่การเรียนยากเกินระดับก็อาจทำให้เรียนไม่เข้าใจหรือท้อได้ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องทดสอบระดับภาษาของตัวเองก่อนเลือกเรียนเสมอ เพื่อวัดระดับความรู้ความเข้าใจของตัวเองก่อน ซึ่งแม้ว่าจะเป็น Beginner ก็สามารถทดสอบได้ เช่น ดูว่าตัวเองรู้คำศัพท์ระดับไหน ทดลองอ่านหนังสือง่ายๆ ไปถึงระดับยาก เช่น นิทานเด็กไปสู่เรื่องสั้นเยาวชนไปสู่คอลัมน์ข่าว หรืออาจจะมีบางทักษะที่พัฒนาเร็วหว่าหรือช้ากว่าอีกทักษะหนึ่ง ซึ่งก็สามารถดูได้ผ่านการทดสอบทักษะภาษา 📌2.ตั้งเป้าหมายของการเรียน การตั้งเป้าหมายในการเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องยากลำบาก ที่จะต้องเจอปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกแย่ รู้สึกท้อแท้ได้ ดังนั้นการตั้งและมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี ช่วยฝึกฝนทักษะและผ่านความรู้สึกท้อแท้ไปได้ โดยตัวอย่างของการตั้งเป้าหมายที่ดีต่อการเรียนภาษาก็เช่น • อยากไปเที่ยวต่างประเทศ • อยากฟังเพลง อ่านหนังสือหรือดูหนังภาษาอังกฤษได้ • ได้รู้จักคนใหม่ๆ หาเพื่อนใหม่ๆ • ไปเรียนต่อ • เพิ่มความก้าวหน้าด้านการทำธุรกิจหรือการงาน เป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว แรงใจที่จะเรียนต่อก็จะตามมาเอง 📌3. เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจากการเรียนคำศัพท์ใหม่ๆ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการเรียนคำศัพท์พื้นฐานจะช่วยให้เข้าใจประโยคได้ง่ายขึ้นและต่อยอดการเรียนรู้อื่นๆ ได้มากขึ้น โดยคำศัพท์ที่เราสามารถเริ่มฝึกได้ก็จะเป็นคำศัพท์ที่เราเห็นบ่อยในสื่อรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนังภาพยนตร์ หรือสังคมรอบตัวเราเอง ด้วยเหตุนี้เอง จึงควรฝึกอย่างรอบด้านทั้งฟัง พูด ดูและเขียนคำศัพท์ หรืออาจจะใช้เทคนิคการท่องศัพท์ให้จำได้ มาช่วยเสริมในการฝึกศัพท์ไปด้วย 📌 4. ฟังเพลงและร้องเพลง การฟังและร้องเพลงเป็นหนึ่งในวิธีเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษที่ช่วยให้เลียนเสียงและจำคำศัพท์ได้เยอะและเร็ว ด้วยจังหวะและทำนองที่นอกจากจะเพิ่มความสนุกสนานแล้ว ยังมีช่วยให้จดจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทำให้เบื่ออีกด้วย จึงเหมาะสมกับทุกคนอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการเรียนรู้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเหมือนกับเจ้าของภาษา ช่วยให้การออกเสียงมีความแม่นยำขึ้นอีก 📌5. ฟัง ฟัง ฟัง และฟัง นอกจากการร้องเพลงแล้วก็ยังมีช่องทางอื่นๆ ที่จะช่วยให้โอกาสที่จะได้ฟังคำศัพท์เพิ่มเข้าไปอีก เช่น วิทยุ พอดคาสต์ ซึ่งสำหรับแต่ละระดับก็มีสื่อที่เหมาะกับการฟังต่างกันไป เช่น • ผู้ที่อยู่ในระดับ Beginner และต้องการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองสามารถเลือกรายการง่ายๆ เช่น รายการสำหรับเด็ก เล่านิทาน บทสนทนาโต้ตอบสั้นๆ เป็นตัวเริ่มต้นได้ • ผู้ที่อยู่ในระดับ Intermediate อาจเลือกการฟังข่าวสั้นในหัวข้อทั่วไปที่สนใจ ฟังบทสนทนาที่ยาวมากขึ้น หรือเริ่มฟังนิยาย เรื่องราว สารคดีทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนมาก • ผู้ที่อยู่ในระดับ Advanced อาจเลือกการฟังข่าวที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือฟังหนังสือเสียงที่มีความยาวมากขึ้น 📌6.สื่อบันเทิงรอบตัวช่วยได้ อีกหนึ่งแหล่งที่ดีในการฝึกภาษาก็จะเป็นสื่อบันเทิงรอบตัว เช่น หนัง ซีรีส์ รายการทีวี ยูทูบเบอร์ เกม ซึ่งจะมีข้อดีตรงที่คำเหล่านี้มักจะเป็นคำที่พบบ่อยและใช้งานในสถานการณ์จริง ไม่ใช่คำหายากหรือคำที่ใช้แค่ในการร้องเพลงหรือในวรรณกรรมเท่านั้น ซึ่งหากใครอยากเริ่มฝึกภาษาด้วยวิธีนี้ ก็ขอแนะนำ 10 ซีรี่ย์ฝึกภาษาอังกฤษไว้เป็นตัวเลือกเพิ่มไปด้วย 📌7.ฝึกพูด ในขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การพูดเป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกด้วยการพูดให้ร่างกายจดจำได้ จึงจะพัฒนาความเก่งในทักษะประเภทนี้ได้ ซึ่งการฝึกพูด ฝึกสนทนานั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเริ่มต้นที่การทำอะไรง่ายๆ เช่น เลียนแบบสิ่งที่เคยได้ยิน ลองพูดตามประโยคหรือคำพูดต่างๆ ก็สามารถพัฒนาการพูดได้ 📌8.ฝึกอ่าน การเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษนั้นมีข้อดีที่จะทำให้เราเข้าถึงตัวเลือกการเรียนภาษาที่หลากหลายและมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข่าวและบทความออนไลน์ ที่นอกจากจะได้ภาษาแล้ว ยังได้รู้เท่าทันโลก อ่านเรื่องสั้น นิยาย  หรือแม้แต่บทสนทนาในเว็บบอร์ด ข้อความโซเชียลมีเดียก็สามารถทำได้  โดยสามารถเลือกฝึกตามระดับได้ เช่น • ผู้ที่อยู่ในระดับ Beginner สามารถเริ่มต้นโดยการทดลองอ่านหนังสือนิทานง่ายๆ แล้วสรุปว่าเรื่องเกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรกับใครก็ได้ หรืออาจจะเริ่มจากหนังสือภาษาอังกฤษแนะนำอื่นๆ ที่ถูกใจเราก็ได้ • ผู้ที่อยู่ในระดับ Intermediate อาจเลือกฝึกอ่านข่าวภาษาอังกฤษ บทความสั้นๆ ในหัวข้อทั่วไปที่สนใจ หรือนิยายที่มีระดับความยากอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง • ผู้ที่อยู่ในระดับ Advanced อาจเลือกการอ่านข่าวที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หรือหัวข้อที่มีความเป็นวิชาการ ใช้ศัพท์ที่เป็นทางการมากขึ้น 📌9.ฝึกเขียน การฝึกภาษาอังกฤษผ่านการเขียนนั้น สามารถพัฒนาหลายทักษะไปพร้อมๆ กัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือหรืออุปกรณ์อะไรมากในการพัฒนาทักษะ และมีความสำคัญในการทำงานและเรียนอย่างมาก เช่น การเขียน Essay Writing  ก็ต้องใช้ทักษะเขียนเป็นหลักทั้งนั้น ซึ่งเราสามารถเริ่มต้นด้วยการ ฝึกเขียนประโยคสั้นๆ ก่อนดูตัวอย่าง ลอกเลียนจากพจนานุกรม และลองสับเปลี่ยนคำศัพท์ 📌10.ใช้แอปพลิเคชันและสื่อการสอนต่างๆ การใช้แอปพลิเคชันและสื่อการสอนต่างๆ เพื่อช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสอนและทำปฏิสัมพันธ์กับเรา ทำให้การเรียนภาษาไม่น่าเบื่อและมีกิจกรรมให้ทำอยู่เรื่อยๆ อีกเรื่องหนึ่งคือความสะดวกในการที่จะเรียนภาษาที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้จึงเหมาะกับผู้ที่อยากเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองในช่วงว่างๆ นั่นเอง ขอบคุณบทความจาก : interpass.in.th

  • University Church

    ก่อนจะไปเรียนที่อังกฤษก็ต้องรู้จักชื่อมหาลัยในอังกฤษก่อนใช่มั้ยเอ๋ย 🤩 วันนี้ IK จะมาพามาทำความรู้จักกับมหาลัยชื่อดังในประเทศอังกฤษกันนน ❗️ “มหาวิทยาลัยโบสถ์เซนต์แมรี่พระแม่มารี(University Church of St. Mary the Virgin)” ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของถนน High Street ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ได้รับการออกแบบโดย Nicholas Stone เป็นโบสถ์เก่าแก่ โดยมีอายุกว่าพันปี ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 มหาวิทยาลัยได้ริเริ่มพัฒนานักวิชาการและอาจารย์ รวมถึงการเรียนการสอน โดยใช้โบสถ์เป็นสถานที่ในการบรรยายและสอนหนังสือ จนกลายเป็นโบสถ์มหาวิทยาลัย ต่อมาประมาณปี ค.ศ. 1420 พื้นที่ของโบสถ์ในขณะนั้นมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับทำกิจกรรมทั้งหมด จึงทำให้มหาวิทยาลัยย้ายไปยังอาคารอื่นๆ บริเวณใกล้เคียง แต่ความสำคัญของโบสถ์ก็ยังคงเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย เมือง Oxford และคริสจักรแห่งชาติ ส่วนสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน เป็นการผสมผสานศิลปะในยุคกลางและศิลปะร่วมสมัย ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในอาคาร คือ ตึกสูง ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1280 โดยมีการสร้างยอดแหลมขึ้นบนตึกในระหว่างปี ค.ศ. 1315 – 1325 จึงทำให้โบสถ์ของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นสวยงามที่สุดในเมืองนี้ ต่อมาหลังจากที่สร้างตึกเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้มีการสร้างโบสถ์เล็กๆ เพิ่มเติม คือ The Adam de Brome Chapel โดยจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1324 เป็นวิทยาลัยแห่งใหม่ที่รู้จักกันในนาม “Oriel” ถัดไปจะเป็นบริเวณพื้นที่ในโบสถ์ ที่เรียกว่า “Chancel” สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1463 ซึ่งบริเวณนี้มีหน้าตางบานใหญ่ตั้งฉากเพื่อให้แสงเข้าสู่ตัวอาคารและเสาหิน รวมถึงการตกแต่งอาคารที่มีสีสันบาดตาและชัดเจน ถัดมาเป็นระเบียง ที่ตั้งอยู่ทางด้านถนน High Street ซึ่งแต่ก่อนเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1637 โดย “barley sugar” ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเสาในวิหารที่เยรูซาเลม ถัดไปจะเป็นหน้าต่างกระจกสีทางด้านตะวันตก ได้รับการออกแบบโดย Charles Kempe สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1891 โดยแสดงให้เห็นถึงตัวเลขจากพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อมาเป็นโซนของ The Old Library หรือห้องสมุดเก่า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1320 ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ใช้สำหรับจัดกิจกรรมสำคัญในชุมชน รวมถึงเป็นสถานที่สักการบูชาและยังเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่มาเยี่ยมชม ด้วยตัวอาคารที่มีการออกแบบที่สวยงาม🌟

  • Christ Church College

    เราเคยทราบไม่ว่า ❗️ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมี Christ Chruch college ที่เต็มไปด้วยภาพเขียนกว่า 2,000 ชิ้น 🔥🔥 • Christ Church College เป็นวิทยาลัยในเครือของ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1546 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในสมัย พระเจ้าเฮนรีที่ 8 (Henry VII of England) ที่นี่จึงเป็นสถาบันการศึกษาเพียงแห่งเดียวในโลกที่เป็นโบสถ์ • อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในเรื่องของการศึกษามาตั้งแต่ในอดีตอีกด้วย และนอกจากจะเป็นทั้งสถาบันการศึกษาและโบสถ์แล้ว • วิทยาลัยแห่งนี้ยังมีส่วนของ Picture Gallery หอศิลป์ที่เก็บรักษาภาพเขียนกว่า 2,000 ชิ้น และภาพจิตรกรรมกว่า 200 ชิ้นเพื่อนำมาจัดแสดงส่งเสริมความรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยว ขอบคุณบทความจาก ; travel.trueid.net

  • วิทยาลัย แมกดาเลน (Magdalen College)

    วิทยาลัย แมกดาเลน(Magdalen College)ตั้งอยู่บริเวณติดกับแม่น้ำ Cherwell และอยู่ในสวนกวาง รวมถึงเส้นทางเดิน Addison’s walk เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ด้วยเงินบริจาคที่มากถึง 180.8 ล้านปอนด์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 เป็นต้นไป วิทยาลัยแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1492 – 1509 โดย William Waynflete ซึ่งเป็นบาทหลวงของเมืองวินเชสเตอร์ในแฮมเชียร์ อยู่ทางใต้ของประเทศอังกฤษและยังเป็นประธานสภาขุนนาง โดยผู้ก่อตั้งจะมีข้อกำหนดสำหรับพื้นฐานการร้องเพลงประสานเสียงของผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งเป็นประเพณีที่ได้รับการสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการอ้างอิงเกี่ยวกับการออกเสียงของชื่อวิทยาลัยในภาษาอังกฤษ วิทยาลัยแห่งนี้ ได้รับเงินบริจาคจำนวนมหาศาลจากที่ดินของ Sir John Fastolf ใน Norfol เมื่อปี ค.ศ. 1380 – 1459 และอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ติดกับ Magdalen College จนในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Hertford College วิทยาลัยแห่งนี้ มีพื้นที่กว้างขวาง อยู่ใกล้ใจกลางเมือง ภายในจะมีทุ่งหญ้าสามเหลี่ยม ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของวิทยาลัย ซึ่งล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำ Cherwell ช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะเต็มไปด้วยดอกไม้ที่สวยงาม มีชื่อว่า “Fritillaria meleagris” ซึ่งมีดอกสีม่วงและเขียว เดินถัดไปอีกจะเจอเส้นทางเดิน Addison’s walk ที่มีความสวยงามและเงียบสงบ ถือเป็นบริเวณที่นักเรียนและผู้ที่มาเยี่ยมชมชื่นชอบเป็นอย่างมาก นอกจากนี้บริเวณนี้ยังเป็นทางเชื่อมไป Holywell Ford และสวน Fellows ซึ่งเป็นสวนที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทุ่งหญ้า Meadow เป็นสวนที่มีพื้นที่แคบและค่อนข้างยาว ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ตามพื้นจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ส่วนช่วงฤดูร้อนจะมีไม้พุ่มชนิดต่างๆ ส่วนโบสถ์ของวิทยาลัยนี้ ใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาสำหรับนักเรียนในวิทยาลัยนี้และวิทยาลัยอื่นๆ ของ University of Oxford โดยเป็นโบสถ์สูงของชาวอังกฤษ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟื้นฟูโบสถ์คาทอลิกในอังกฤษ รวมถึงมีคณะร้องเพลงประสานเสียงภายในโบสถ์ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัย ขอบคุณบทความจาก : wtalonwtieww..com

  • "ทำไมการอ่านหนังสือ" ถึงช่วยให้คุณฉลาดขึ้น ก้าวหน้าขึ้น แถมสุขภาพดีขึ้น?

    การอ่านหนังสือได้เยอะๆ เป็นทักษะที่เจ้าของธุรกิจ และคนที่อยากประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมี มันคือการลงทุนราคาถูกที่อาจนำมาซึ่งผลตอบแทนมากมายไม่มีสิ้นสุด ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอาจทำงานมามากกว่า 20 ปี เพียงเพื่อทำการวิจัยอะไรบางอย่าง บางคนก็ทุ่มทั้งชีวิตให้กับการหาคำตอบของคำถามเพียงคำถามเดียว แล้วกลั่นออกมาเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม … และนี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมการอ่านหนังสือถึงช่วยให้คุณฉลาดขึ้น ก้าวหน้าขึ้น และสุขภาพดีขึ้น แถมดีกว่าการอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอสิกส์ (E-book) 1. หนังสือเป็นแหล่งช่วยพัฒนาความเข้าใจและความจำ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีงานวิจัยมากมายที่เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียระหว่างการอ่านหนังสือเป็นเล่มกับการอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ ชี้ว่า “การอ่านจากหน้าจอส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลักษณะการอ่านแบบอ่านคร่าวๆ หาเฉพาะคีย์เวิร์ด และอ่านแค่เพียงรอบเดียวเท่านั้น” เป็นผลทำให้ความเข้าใจในตัวเนื้อหาลดน้อยลงและได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเท่าที่ควร การอ่านเนื้อหาจากหนังสือต่างหาก ที่ให้ผลดีกับคุณที่สุด งานวิจัย ชี้ว่า “การอ่านหนังสือเป็นเล่มจะส่งผลให้เนื้อหาที่อ่านมาเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำได้ดีกว่าอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” หากคุณอยากทำความเข้าใจและได้รับข้อมูลความรู้แบบมากที่สุด คุณก็ควรหาอ่านหนังสือแบบเป็นเล่มๆ 2. การอ่านหนังสือช่วยในเรื่องสุขภาพตาและการนอนหลับ อีกหนึ่งข้อดีของการอ่านหนังสือเป็นเล่ม แทนที่จะอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็คือ มันดีต่อสุขภาพของคุณ งานวิจัย จากฮาร์วาร์ด พบว่า “แสงสีฟ้า (blue light) ที่แผ่ออกมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้” แสงสีฟ้าเป็นแสงที่จะไปยับยั้งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งส่งผลต่อนาฬิกาชีวิตและจะเพิ่มความตื่นตัวให้ตัวคุณในช่วงเวลาที่คุณไม่ควรตื่นตัว นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “การได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ก็ตามก่อนนอนเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากอิทธิพลของมันจะมาทำลายระบบการหลับและการตื่นของร่างกาย ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อการพักผ่อนของคุณอย่างถาวรเลย” กลับมาสู่โลกความเป็นจริงกันเถอะ เราควรรู้จัก “พักวาง” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ บ้างในแต่ละวัน และการอ่านหนังสือจริงๆสักเล่ม อาจช่วยให้คุณละออกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รอบตัวคุณได้บ้าง 3. การอ่านหนังสือให้ความรู้สึกถึงความคืบหน้า ลองคิดถึงครั้งสุดท้ายที่คุณอ่านหนังสือสำคัญๆ สักเล่มดูสิ คุณจำได้ไหมว่า คุณรู้สึกภูมิใจแค่ไหนตอนที่คุณกำลังพลิกหน้าสุดท้ายของเล่ม? ข้อดีทางจิตวิทยาข้อหนึ่งจากการอ่านหนังสือก็คือ การที่เรา รู้สึกคืบหน้า และภูมิใจในขณะที่กำลังเปลี่ยนหน้านั่นเอง คุณจะเห็นหนังสือฝั่งซ้ายค่อยๆหนาขึ้น ในขณะที่ฝั่งขวาก็เริ่มบางลง คุณจะรู้สึกว่าคุณมีความคืบหน้า ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีมากๆ เพราะมันคือประสบการณ์และการผจญภัยอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกภาคภูมิใจเท่านั้น แต่หนังสือจะเป็นเหมือนตัวแทน การเดินทางของสติปัญญา ของคุณ ที่คุณสามารถตั้งไว้ที่ออฟฟิศหรือบ้านเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคุณสนใจอะไร สิ่งที่เราวางไว้บนชั้นหนังสือหรือโต๊ะหนังสือคือสิ่งที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของเรา เราพูดถึงมัน เรามองดูมัน เราอ้างถึงมัน มันทำให้ผู้คนรู้จักเข้าใจเรามากขึ้น และในหลายๆ ครั้ง ก็เป็นหัวข้อในการเริ่มบทสนทนาที่ดีทีเดียว Source: sumrej.com

  • เที่ยวเมือง Oxford ตามรอย Harry Potter

    เมืองอ็อกส์ฟอร์ด นอกจากจะเป็นที่ตั้งของมหาลัยเก่าแก่ชื่อดังระดับโลกอย่างมหาวิทยาลัยอ็อกสฟอร์ดแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำจริงและแรงบันดาลใจในการสร้างหนัง Harry Potter อีกด้วย วันนี้เราอยากชวนทุกคนไปเที่ยวอังกฤษตามรอย แฮร์รี่ พอตเตอร์ ส่องสถานที่ถ่ายทำ โรงเรียนฮอกวอตส์ ในภาคแรกกันที่ Christ Church College วิทยาลัยเก่าแก่แห่งเมือง ออซ์ฟอร์ด ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลย! Christ Church College เป็นวิทยาลัยในเครือของ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1546 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในสมัย พระเจ้าเฮนรีที่ 8 (Henry VII of England) ที่นี่จึงเป็นสถาบันการศึกษาเพียงแห่งเดียวในโลกที่เป็นโบสถ์ อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในเรื่องของการศึกษามาตั้งแต่ในอดีตอีกด้วย และนอกจากจะเป็นทั้งสถาบันการศึกษาและโบสถ์แล้ว วิทยาลัยแห่งนี้ยังมีส่วนของ Picture Gallery หอศิลป์ที่เก็บรักษาภาพเขียนกว่า 2,000 ชิ้น และภาพจิตรกรรมกว่า 200 ชิ้นเพื่อนำมาจัดแสดงส่งเสริมความรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยว เริ่มจุดแรกด้วย The Great Hall หรือ ห้องโถงใหญ่ ที่ใช้ในการรับประทานอาหารของวิทยาลัย เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมโกธิคโอ่อ่าอลังการ พร้อมกับภาพวาดเหมือนของบุคคลสำคัญต่างๆ ติดอยู่ตามฝาผนัง ความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมผู้สร้างแฮร์รี่ พอตเตอร์ ดึงเสน่ห์ของห้องโถงแห่งนี้มาออกแบบห้องโถงใหญ่ของโรงเรียนฮอกวอตส์นั่นเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ที่นี่เคยใช้เป็นรัฐสภาของ พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (Charles I of England) ในสมัย สงครามกลางเมืองอังกฤษ (English Civil War) ด้วย เรียกว่าเป็นห้องโถงที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษไม่น้อยเลย บันไดทางขึ้นห้องโถง ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในฉากสำคัญของภาคแรกที่ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล ได้พบกับนักเรียน ปี 1 ทุกคนรวมถึง แฮร์รี่ รอน และ เฮอร์ไมโอนี่ เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นฉากที่เฮอร์ไมโอนี่พาแฮร์รี่ และรอนมาดูตู้แสดงถ้วยรางวัลของฮอกวอตส์ ทำให้แฮร์รี่ รู้ว่า เจมส์ พอตเตอร์ พ่อของเขาก็เคยเป็นซีกเกอร์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ด้วยเช่นกัน ใครที่มีโอกาสได้ไปเยือน Christ Church College ก็อย่าลืมไปถ่ายรูปกับบันไดกับห้องโถงใหญ่ด้วยน่ะ ขอบคุณบทความจาก www.travel.trueid.net

  • เจาะ 4 เคล็ด(ไม่)ลับพิชิตสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

    สำหรับน้องๆ ที่อยากจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับท็อปอย่างอ็อกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์นั้น นอกเหนือจากการเรียนให้ได้ผลการเรียนที่ดีเยี่ยมแล้ว สิ่งนึงที่เป็นด่านสำคัญที่น้องๆ จะต้องฝ่าฟันให้ได้ก็คือ การสัมภาษณ์ และแน่นอนการสัมภาษณ์เองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ ไม่มีทางทราบเลยว่าเราจะไปเจออะไรในช่วงสัมภาษณ์บ้าง เพื่อช่วยให้การสัมภาษณ์สำหรับน้องๆ ง่ายขึ้น วันนี้เราจึงอยากมาแบ่งปันเคล็ดลับและข้อแนะนำต่างๆ ที่จะเสริมความมั่นใจของน้องทุกคนมากขึ้น ข้อที่ 1 อย่าอายที่จะนำเสนอความคิดเห็นของตัวเอง “เมื่อผู้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณตอบ หรือมีการตั้งคำถามตามมา ไม่ได้แปลว่าผู้สัมภาษณ์คิดว่าคุณโง่หรือคุณพูดอะไรผิด แต่ผู้สัมภาษณ์แค่ต้องการที่จะผลักดันให้คุณกล้าที่จะยืนยันในคำตอบของตัวเอง เพราะสิ่งที่เค้ามองหาในตัวนักเรียนก็คือความสามารถที่เราจะใช้ข้อเท็จจริงมาสนับสนุนสิ่งที่เราพูดหรือสิ่งที่เราเชื่อ” อบิเกล นักศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกล่าว “ถ้าคุณสามารถทำได้ดีในการสัมภาษณ์ มันเป็นการการันตีในระดับนึงว่าคุณจะสามารถเรียนได้ดีในที่ดังกล่าว” ข้อที่ 2 ตั้งใจฟังและเรียนรู้จากผู้สัมภาษณ์ เมื่อแจสเปอร์สมัครไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เค้าทราบดีว่าเค้าจะต้องเจอคำถามที่ยากและท้าทายโดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์และการใช้เหตุผลในช่วงสัมภาษณ์ “การสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนต่อด้านวิศวะที่อ็อกซ์ฟอร์ดนั้นอาจจะถือว่าแปลกกว่าคณะอื่นๆ เพราะจะมีขั้นตอนการถามคำถามที่ชัดเจน คำถามจะถูกอ่านโดยผู้สัมภาษณ์ และคุณในฐานะผู้ถูกสัมภาษณ์จะต้องตอบด้วยรูปภาพหรือกราฟ” ผู้สัมภาษณ์ต้องการเห็นว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่พวกเขาสอน บางครั้งการตอบไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะต้องเจออุปสรรคในการเรียนหนังสือ จากนั้นคุณก็จะได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลในคณะเพื่อก้าวผ่านอุปสรรค วนไปอย่างนี้เรื่อยๆ ดังนั้น หากคุณสามารถแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมรับมือกับอุปสรรค ก็จะได้คะแนนเพิ่มจากผู้สัมภาษณ์ ข้อที่ 3 แสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นในสิ่งที่เราคิด ระหว่างการสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนต่อด้านภูมิศาสตร์ ลีเอียมได้รับคำถามที่ว่า “หากคุณได้รับมอบหมายให้ออกแบบการทดลองภาคสนามให้สมบูรณ์แบบที่สุด การทดลองดังกล่าวจะเป็นอะไรและเพราะอะไร” ในการสัมภาษณ์ดังกล่าวลีเอียมไม่มีไอเดียด้วยซ้ำเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ถาม แต่ลีเอียมเลือกที่จะพูดในสิ่งที่เค้าคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ว่าไอเดียดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำได้จริง แต่การได้สื่อสารไอเดียออกมาได้สะท้อนให้เห็นกระบวนการคิดวิเคราะห์และการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์มองหา ข้อที่ 4 ฝึกฝนการพูดและการอธิบายคอนเซ็ปต์ โอลิเวอร์ ผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการทราบเป็นอย่างดีว่าถึงหลายๆ คำถามอาจจะเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็ยังมีคำถามบางส่วนซึ่งเป็นคำถามประจำที่ผู้สัมภาษณ์มักจะถาม ดังนั้นการเตรียมคำตอบที่ดีล่วงหน้าก็จะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ ไม่น้อย “คุณสามารถเตรียมคำตอบสำหรับคำถามประเภทพวกนี้และฝึกฝนการตอบคำถามกับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ เพื่อที่จะพัฒนาคำตอบของคุณให้ดีที่สุด ตัวผมเองผมเริ่มจากการฝึกตอบคำถามที่ว่า อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้คุณสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ รวมไปถึงทำไมคุณถึงอยากศึกษาในสาขาวิชาดังกล่าว และอีกคำถามคือ คุณคิดว่าประเด็นอะไรคือประเด็นที่สำคัญที่สุดของโลกในขณะนี้ คุณต้องไม่ลืมว่าการอธิบายความคิดของคุณและสื่อสารออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสัมภาษณ์”

  • ดร.จักรินทร์ ศรีมูล

    "Committed to Developing Innovative and Effective Leaders to Make a Difference to the World" วันนี้Ikจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ ดร.จักรินทร์ ศรีมูล ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรสุดยอดผู้นำและผู้ทำหน้าที่มอบความรู้ในคอร์สเรียนก่อนการเดินทางไปยังเมืองอ็อกสฟอร์ดแก่น้อง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ Oxford International Exchange Program 2023 ดร.จักรกรินทร์ ศรีมูล “มุ่งมั่นพัฒนาผู้นํารุ่นใหม่เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่โลก” สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกคณะเศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว และเป็นคณบดีผู้ก่อตั้งโรงเรียนการจัดการนานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCCiSM) เป็นผู้อำนวยการบริหารศูนย์การค้า SEA-LAC และมีผลงานที่โดดเด่นอีกมากหมาย อาทิ - ก่อตั้ง UTCC Global offshore Program ในประเทศเมียนมาร์ร่วมกับ UMFCCI และ MRCCI ทั้งในเมืองย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ - ศาสตราจารย์ด้านการจัดการและความเป็นผู้นําในกรุงเทพฯ รวมทั้งเป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่ School of Economics and Management, Tsinghua University คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยจีนแห่ง ฮ่องกง - ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิจัยที่ Mendoza College of Business , มหาวิทยาลัยนอเทรอดาม สหรัฐอเมริกา - ผู้บรรยายเกี่ยวกับธุรกิจและความเป็นผู้นําของอาเซียนและทั่วโลก ได้แก่ สเปน อาร์เจนตินา บราซิล เปรู เม็กซิโก อุรุกวัย เมียนมาร์ เวียดนาม และสโลวีเนีย - ผู้สอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี ระดับบัณฑิตศึกษา และระดับผู้บริหารในด้านความเป็นผู้นำ - ที่ปรึกษาของ Inter-American Development Bank (AIDB) ในเปรูในปี 2010 เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำด้านการพัฒนาการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับคณะกรรมการการอุดมศึกษาของประเทศไทย เป็นยังไงกันบ้างค่ะ ประวัติของท่านนั้น ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถ้าอยากรู้จักท่านมากขึ้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.linkedin.com/in/jakarin73

LINE_New_App_Icon_(2020-12).png
ดีไซน์ที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ_edited.png

CONTACT US

Tech and Gaming Retail Website in Teal and White Gradient Style.png
Tech and Gaming Retail Website in Teal and White Gradient Style.png
Tech and Gaming Retail Website in Teal and White Gradient Style.png
Tech and Gaming Retail Website in Teal and White Gradient Style.png
Tech and Gaming Retail Website in Teal and White Gradient Style.png

+66 (0)81 239 5089
Official Facebook Page
Instagram
TikTok
support@internationalkingdomthailand.com

แบบฟอร์มสมัครรับข่าวสาร

bottom of page